การถอนฟัน

ถอนฟันคืออะไร

การถอนฟัน เป็นการนำเอาฟันออกไปจากเบ้ากระดูกขากรรไกร ซึ่งถือเป็นการศัลยกรรมช่องปากขั้นพื้นฐานและมีระดับความยากง่ายแตกต่างกันไป

สาเหตุที่ต้องถอนฟัน

  • ฟันผุมาก หรือมีการติดเชื้อลุกลาม
  • ฟันที่ขัดขวางการขึ้นของฟันซี่อื่น
  • ภาวะโรคเหงือกรุนแรงซึ่งเป็นผลต่อเนื้อเยื่ออ่อนและกระดูกที่อยู่โดยรอบฟันซี่นั้น
  • ฟันที่ต้องถอนเพื่อใช้พื้นที่สำหรับจัดฟัน
  • ฟันแตกร้าวที่ไม่สามารถบูรณะได้
  • ฟันคุดที่ไม่สามารถขึ้นมาใหม่ในช่องปากได้
  • ฟันที่อยู่ระหว่างรอยแตกหักของกระดูกขากรรไกร
  • การได้รับรังสีรักษาบริเวณศีรษะและลำคอ อาจมีความจำเป็นต้องถอนฟันในบริเวณที่ได้รับรังสีรักษา

ขั้นตอนการถอนฟัน

  1. X-ray เพื่อดูลักษณะฟันและรากฟันที่อยู่ภายในกระดูกขากรรไกร เพื่อวางแผนการรักษาก่อนการถอนฟัน
  2. ทันตแพทย์ใช้ยาชาเฉพาะที่/ยาสลบ (ขึ้นอยู่กับกรณีการรักษา)
  3. ทันตแพทย์ถอนฟันออก
  4. หลังจากถอนฟันเสร็จทันตแพทย์จะให้กัดผ้าก๊อซที่ผ่านการฆ่าเชื้อ

ระยะเวลาในการถอนฟัน

การถอนฟันใช้ระยะเวลาประมาณ 1 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับความยากของเคส

การดูแลรักษาหลังการถอนฟัน

  • แนะนำให้กัดผ้าก๊อซไว้หลังถอนฟันประมาณ 30-60 นาที หรือจนกว่าเลือดจะหยุดไหล
  • ควรรับประทานอาหารอ่อนๆ ในระยะแรก
  • ควรนอนหมอนสูง เพื่อให้ศีรษะสูงกว่าลำตัว ป้องกันไม่ให้เลือดไหลจากแผล
  • ห้ามใช้ลิ้นดุนหรือดูดแผลเล่น จะทำให้เลือดไม่หยุดไหล
  • หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และการสูบบุหรี่ เพราะจะทำให้แผลหายช้า
  • ห้ามกลั้วปากหรือบ้วนปากแรงภายใน 24 ชั่วโมงหลังถอนฟัน เพราะจะทำให้เลือดไม่หยุดไหล
  • รับประทานยาแก้ปวดตามที่ทันตแพทย์แนะนำ และใช้น้ำแข็งประคบประมาณ 15-30 นาที เพื่อลดอาการเจ็บปวดและอาการบวม
 

การถอนฟัน

1. ภายหลังจากถอนฟัน เลือดที่อยู่ในเบ้าฟันจะเริ่มแข็งตัวเป็นลิ่มเลือด

2. มีเหงือกเข้ามาปกคลุมขณะเกิดกระบวนการหายของแผล

3. เมื่อพิจารณาเข้าไปที่แผลถอนฟัน ลิ่มเลือดที่อยู่เต็มเบ้าฟันจะเริ่มเปลี่ยนเป็นเนื้อเยื่อและกระดูก

คำถามที่พบบ่อย

ถอนฟันเจ็บไหม ?

A : การถอนฟันนั้นหลีกเลี่ยงอาการเจ็บปวดไม่ได้ แต่ทันตแพทย์ใช้อาจยาชาหรือยาสลบก่อนที่จะทำการถอนฟันเพื่อบรรเทาอาการปวด และให้ยาบรรเทาอาการปวดหลังถอนฟันv

  • โรคเบาหวาน (Diabetes)
  • โรคความดันโลหิตสูง (High Blood Pressure)
  • โรคหัวใจทุกชนิด (Cardiovascular/ Heart Disease)

ควรแจ้งทันตแพทย์ก่อนทุกครั้ง เพราะแต่ละโรคก็จะมีข้อควรระวัง ข้อปฏิบัติแตกต่างกันเพื่อความปลอดภัยของคนไข้